ยุโรปสมัยโบราณ

ยุโรปสมัยโบราณ

ยุโรปสมัยโบราณ

 

ยุโรปสมัยโบราณ – สมัยโบราณ (อังกฤษ: Ancient history) ในความหมาย ที่เป็นสากล จะหมายถึง ช่วงเวลาที่มนุษย์ รู้จักการตั้งถิ่นฐาน ถาวร สร้างอารยธรรม วัฒนธรรม อักษรต่าง ๆ ขึ้นมา ซึ่งในแต่ละประเทศ สมัยโบราณจะมาถึงเร็วหรือช้า จะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าช่วงเวลาใด ทีประเทศนั้นอยู่ในช่วงสร้างและประดิษฐ์ อารยธรรมที่จะเป็นหลักฐานยืนยัน ได้ว่าอารยธรรมของประเทศนี้ เริ่มต้นขึ้นแล้ว ช่วงเวลานั้น ของประเทศนั้น ก็จะจัดอยู่ในช่วงสมัยโบราณ

สมัยโบราณโดยเฉลี่ย ของโลกจะตรงกับ 3,500 ปีก่อนคริสตกาล – ค.ศ. 476 เพราะในช่วงเวลาดังกล่าว อารยรรมที่โด่งดังจำนวนมาก ของโลกถือกำเนิดในช่วงนี้ เช่น อารยธรรมโรมัน กรีก เมโสโปเตเมีย จีน อินเดีย อียิปต์ ฯลฯ นักประวัติศาสตร์ทั่วโลก จึงกำหนดช่วงเวลาดังกล่าว ให้เป็นสมัยโบราณโดยเฉลี่ยของโลก

สมัยโบราณโดยเฉลี่ยของโลก สิ้นสุดใน ค.ศ. 476 เมื่อจักรวรรดิโรมันตะวันตก ล่มสลายลง เหลือแต่จักรวรรดิโรมันตะวันออก ที่เปิดเมืองรับ เอาศาสนาคริสต์เข้ามามีบทบาทสูง ในสังคมโรมัน และอิทธิพลของโรมันก็แผ่ขยายไปทั่วยุโรป และไปทั่วโลก ทำให้โลกโดยรวมออก จากสมัยโบราณ เข้าสู่สมัยกลาง (Middle Ages)

ทางด้านอารยธรรม สมัยโบราณของต่างประเทศ โดยเฉพาะในแถบยุโรป มีอารยธรรม ที่น่าสนใจเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เช่น อารยธรรมอียิปต์ กรีก โรมัน บุคคลที่มีชีวิตอยู่ในช่วง หลายพันปีก่อน แล้วยังมีชื่อเสียงอยู่จนถึงปัจจุบัน มีมากมาย เช่น จูเลียส ซีซาร์, คลีโอพัตรา รวมทั้งฟาโรห์หลายพระองค์แห่งอียิปต์

ยุคโบราณตอนปลาย (อังกฤษ: Late Antiquity) เป็นสมัยประวัติศาสตร์ที่ใช้โดยนักประวัติศาสตร์ ในการบรรยายช่วงเวลา ที่เปลี่ยนจากยุคโบราณคลาสสิกไปเป็นยุคกลาง ทั้งบนแผ่นดินใหญ่ ยุโรปและบริเวณเมดิเตอร์เรเนียน ของเขตของสมัยยังคงเป็นเรื่องที่โต้แย้งกันอยู่ แต่นักประวัติศาสตร์คนสำคัญปีเตอร์ บราวน์เสนอว่าเป็นช่วงเวลาระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 2 ถึง ที่ 8 โดยทั่วไปแล้วก็อาจจะเทียบได้กับช่วงเวลาตั้งแต่การสิ้นสุดของวิกฤติการณ์ของคริสต์ศตวรรษที่ 3 (ค.ศ. 235-ค.ศ. 284) ของจักรวรรดิโรมัน ไปจนถึงการจัดระบบบริหารของจักรวรรดิโรมันตะวันออกภายใต้การนำของจักรพรรดิเฮราคลิอัส และการพิชิตดินแดนโดยมุสลิมในยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 7

จักรวรรดิโรมันประสบกับความเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ทั้งทางด้านสังคม, วัฒนธรรม และ ระบบการปกครองที่เริ่มขึ้นในรัชสมัยของจักรพรรดิไดโอคลีเชียนผู้ทรงเป็นผู้เริ่มการแบ่งจักรวรรดิออกเป็นสองส่วนคือจักรวรรดิโรมันตะวันออกและจักรวรรดิโรมันตะวันตกที่ปกครองโดยพระจักรพรรดิหลายพระองค์ เริ่มด้วยจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1 เมื่อจักรวรรดิถูกเปลี่ยนเป็นจักรวรรดิคริสเตียน และการก่อตั้งคอนสแตนติโนเปิลเป็นเมืองหลวง การโยกย้ายถิ่นฐานของกลุ่มชนเจอร์มานิคต่อมาก็บั่นทอนเสถียรภาพ ของจักรวรรดิยิ่งขึ้นไปอีก ที่ในที่สุดก็นำไปสู่การล่มสลาย ของจักรวรรดิโรมันตะวันตกในปี ค.ศ. 476 และมาแทนที่ด้วยระบอบ พระมหากษัตริย์ของชนเจอร์มานิค หรือ “ระบอบพระมหากษัตริย์ของอนารยชน” ผลก็คือการผสาน ระหว่างวัฒนธรรมกรีก -โรมัน เจอร์มานิค และ คริสเตียน ที่กลายมาเป็นพื้นฐานของวัฒนธรรม ของยุโรปตะวันตก

การสูญเสียประชากร, ความรู้ทางเทคโนโลยี และ มาตรฐานความเป็นอยู่ ของยุโรปตะวันตก ในยุคนี้เป็นลักษณะ ของสถานภาพที่เรียกว่า “การล่มสลายของสังคม” (Societal collapse) โดยนักเขียนตั้งแต่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยามาจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ จากความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นและการขาดหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของยุโรปตะวันตกในช่วงนี้โดยเฉพาะ ในช่วงระหว่างการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกมาจนถึงยุคกลาง ทำให้ได้ชื่อว่าเป็น “ยุคมืด” ที่มาแทนที่ด้วยคำว่า “ยุคโบราณตอนปลาย”

 

ความเจริญของกรีก

ชาวกรีกได้สร้างอาณาจักรของตนขี้น ประกอบด้วย นครรัฐเล็กๆ หลายแห่งในคาบสมุทรบอลข่าน อาณาจักรของชาวกรีกเจริญรุ่งเรืองมาก ระหว่าง 200 ปีก่อนพุทธกาลจนถึงต้นพุทธกาล ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาที่นักเดินเรือและพ่อค้าชาวกรีกออกไปทำการค้า และสร้างอาณานิคมขึ้นอย่างกว้างขวางตามบริเวณชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนของทวีปยุโรป เอเซีย และแอฟริกา

 

การปกครองแบบประชาธิปไตย

ชาวกรีกได้พัฒนาการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยราษฏรมีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายกครองหรือสมาชิกสภาบริหาร โดยเฉพาะการปกครองของนครรัฐเอเธนส์ ซึ่งเป็นนครรัฐที่มีชื่อเสียงมากของกรีก ถือกันว่าเป็นแม่แบบของการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่ชาวยุโรปได้รับการถ่ายทอดมาจากชาวกรีก

 

ศิลปวัฒนธรรม

ชาวกรีกได้สร้างศิลปกรรม และสถาปัตยกรรม ที่มีความงดงาม นอกจากนี้ยังมีวรรณคดีที่เกี่ยวข้องกับศาสนา ซึ่งเคารพบูชาเทพเจ้าต่างๆ มีพิธีกรรมบูชาเทพเจ้า โดยการแสดงละคร ซึ่งเป็นแบบฉบับการละครของชาวยุโรปในสมัยต่อมา รวมทั้งการแข่งขันกีฬาระหว่างนครรัฐ เพื่อบูชาเทพเจ้าที่ภูเขาโอลิมปัส ก็ได้กลายมาเป็นธรรมเนียมการแข่งขันกีฬาระหว่างประเทศที่เรียกว่า กีฬาโอลิมปิคในปัจจุบัน

 

ปรัชญาความคิด

ชาวกรีกเป็นนักคิด รักความมีเหตุผล จึงทำให้เกิดแนวความคิดทางปรัชญาแก่ชาวยุโรป นักปรัชญากรีกที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี ได้แก่ เพลโต และอริสโตเติล ซึ่งถือเป็นผู้วางรากฐานปรัชยาให้แก่ชาวยุโรป

 

ความเจริญของโรมัน

ชาวโรมันได้สร้างอาณาจักรของตนขึ้นในคาบสมุทรอิตาลี และมีอำนาจขึ้นแทนที่กรีกในตอนต้นพุทธศตวรรษที่ 4 จนถึงตอนต้นพุทธศตวรรษที่ 11 จึงเสื่อมอำนาจลง ในขณะที่โรมันมีอำนาจอย่างเต็มที่ได้แผ่ขยายดินแดนออกไปอย่างกว้างขวางทั้งในยุโรป และตอนเหนือของแอฟริกา ปัจจุบันยังคงมีซากโบราณสถานปรากฏอยู่ในประเทศต่างๆ ที่แสดงถึงการแผ่อำนาจของโรมันโบราณ เช่น กำแพงเมือง ป้อมปราการ ถนน เป็นต้น

 

กลับสู่หน้าหลัก https://www.euniceadorno.net